การหมั้นกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ของ มาเรียนา_บิกโตเรียแห่งสเปน_สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส

พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และพระคู่หมั้น เจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียแห่งสเปน ภาพวาดโดย ฟรังซัวส์ เดอ ทรอย

หลังจากสงครามสี่สัมพันธมิตร ฝรั่งเศสและสเปนตัดสินใจปรองดองกัน โดยการหมั้นเจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียกับพระญาติของพระนางคือ ยุวกษัตริย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการจัดตั้งแผนโดยฟิลิปป์ที่ 2 ดยุกแห่งออร์เลอองส์ ผู้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งฝรั่งเศสในขณะนั้น[4] ซึ่งพระเจ้าหลุยส์มีพระชนมายุเพียง 10 พรรษา และแผนการหมั้นในครั้งนี้รวมถึงพิธีหมั้นของพระราชโอรสพระองค์โตในพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปนคือ เจ้าชายหลุยส์แห่งสเปนกับเจ้าหญิงหลุยส์ เอลิซาเบธแห่งออร์เลออง มาดาม เดอ มองเปสิเออร์ และรวมทั้งพิธีหมั้นระหว่างเจ้าหญิงฟิลิปพินส์ เอลิซาเบธแห่งออร์เลออง มาดาม เดอ โบโจลาอิสกับเจ้าชายชาร์ลส์แห่งสเปน [5]

หลุยส์ เดอ ลูฟว์รอย,ดุ๊ก เดอ แซงค์-ซิมอน ราชทูตจากฝรั่งเศส รับเสด็จพระนางในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2264 เป็นการแลกเปลี่ยนเจ้าหญิงมาเรียนนา วิกตอเรียกับมาดาม เดอ มองเปซิเออร์ที่เกาะพลีเซนต์ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสทรงพบกับว่าที่พระมเหสีเจ้าหญิงมาเรีย เทเรสแห่งสเปนในปีพ.ศ. 2203 เจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียเสด็จถึงกรุงปารีสในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2265 การจัดพิธีและเฉลิมฉลองจัดขึ้นในพระราชวังลูฟว์ซึ่งเป็นที่ประทับ เจ้าหญิงทรงได้รับพระนามลำลองว่า "l'infante Reine" แปลว่า เจ้าหญิงราชินี[5] เนื่องจากไม่ได้อภิเษกสมรสกันนับตั้งแต่เสด็จถึงฝรั่งเศสจนกระทั่งทรงเจริญพระชันษาสูงขึ้น เจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียทรงตกอยู่ภายใต้ความเกรงขามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และทรงเป็นที่นิยมในราชสำนักนอกเหนือจากพรเจ้าหลุยส์ทรงปฏิเสธให้พระนางเข้าเฝ้า[6]

ตามที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ชาร์ล็อตแห่งพาเลนทีน ผู้เป็นพระราชมารดาในผู้สำเร็จราชการทรงกล่าวถึงเจ้าหญิงมาเรียนาว่าเป็น "สิ่งเล็กๆที่หอมหวานและน่ารักที่สุด" และมีสติปัญญามากสำหรับพระชนมายุของเจ้าหญิง เจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียทรงได้รับการศึกษาจากมารี แอนน์ เดอ บูร์บง ผู้เป็นธิดานอกสมรสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับหลุยส์ เดอ ลา วาลิแยร์ ผู้เป็นพระสนม ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2266 พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงบรรลุนิติภาวะและสามารถปกครองประเทศได้ด้วยพระองค์เอง[7]

การประทับในฝรั่งเศสของเจ้าหญิงนั้นไม่ค่อยดี ภายใต้อิทธิพลของหลุยส์ อองรี ดยุกแห่งบูร์บง ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นกับมาดาม เดอ ปรี ผู้เป็นสนมของเขา ได้ตัดสินใจส่งเจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียซึ่งมีพระชนมายุ 7 พรรษากลับสเปนในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2268 เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะรักษาอำนาจและอิทธิพลเหนือยุวกษัตริย์และได้เสนอให้พระเจ้าหลุยส์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเฮนเรียต หลุยส์ เดอ บูร์บง ผู้เป็นพระขนิษฐาของดยุกเองซึ่งไม่เหมือนกับเจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียตรงที่เจ้าหญิงเฮนเรียตทรงเจริญพระชันษาในช่วงที่สามารถทรงครรภ์ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ทางสเปนไม่พอใจและปฏิเสธการสนับสนุนสถานะของเจ้าหญิงหลุยส์ เอลิซาเบธแห่งออร์เลออง สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน ซึ่งอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์แห่งสเปน และพระเจ้าหลุยส์แห่งสเปนได้เสด็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาทหลังจากทรงครองราชย์ได้เพียง 7 เดือน[5] ในฐานะที่อภิเษกสมรสแต่ก็ไม่ได้รับอะไรมากมาย ทางการสเปนปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพระราชินีหลุยส์ เอลิซาเบธและมีพระราชโองการให้พระราชินีเสด็จกลับฝรั่งเศส พร้อมกับพระขนิษฐาของพระนาง เจ้าหญิงฟิลิปพินส์ เอลิซาเบธแห่งออร์เลออง ซึ่งเตรียมอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาร์ลส์แห่งสเปน การกระทำเช่นนี้เพื่อตอบโต้ฝรั่งเศส เจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรียเสด็จออกจากพระราชวังแวร์ซายในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2268 และเดินทางไปยังชายแดนเพื่อแลกเปลี่ยนเจ้าหญิงมาเรียนา บิกโตเรีย กับสองเจ้าหญิงแห่งออรฺเลอองคือ อดีตพระราชินีหลุยส์ เอลิซาเบธแห่งสเปนและเจ้าหญิงฟิลิปพินส์ ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมารี เลสไซน์สกาแห่งโปแลนด์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2268 และเจ้าหญิงมาเรีย เทเรซา ราฟาเอลาแห่งสเปน พระขนิษฐาในเจ้าหญิงมาเรียนาได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลุยส์ ดอแฟงแห่งฝรั่งเศส พระราชโอรสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในปีพ.ศ. 2288 เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสเปนอีกครั้ง

ใกล้เคียง

มาเรียม เกรย์ อัลคาลาลี่ มาเรีย ชาราโปวา มาเรียแห่งเท็ค มาเรีย เฮิร์ชเลอร์ มาเรีย โอซาวะ มาเรียนา บิกโตเรียแห่งสเปน สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส มาเรียม อับดุล อาซิซ มาเรีย เลโอพ็อลดีเนอแห่งออสเตรีย มาเรีย ซีบึลลา เมเรียน มาเรียโน ดิอัซ